งานนักลงทุนและผู้บริหาร Kia ปี 2025 Kia เดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโต เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า (EV), รถเฉพาะกิจ (PBV) และรถกระบะรุ่นใหม่
2025-04-22งานนักลงทุนและผู้บริหาร Kia ปี 2025
Kia เดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโต เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า (EV), รถเฉพาะกิจ (PBV) และรถกระบะรุ่นใหม่
• กลยุทธ์ธุรกิจ “Plan S 2030” ของ Kia มุ่งเน้นการเติบโตผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่และความมุ่งมั่นด้านการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
• ตั้งเป้ายอดขายทั่วโลก 4.19 ล้านคัน และส่วนแบ่งตลาด 4.5% ภายในปี 2030
• รถยนต์ไฟฟ้า (EV): ตั้งเป้ายอดขาย EV 1.26 ล้านคันภายในปี 2030
- คาดการณ์ส่วนแบ่งตลาด EV ทั่วโลก 4.3% พร้อมขยายไลน์อัป EV ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
• รถเฉพาะกิจ (PBV): ตั้งเป้ายอดขาย PBV 250,000 คันภายในปี 2030
- เตรียมเปิดตัวรุ่น PV5 ในปี 2025, PV7 ในปี 2027 และ PV9 ในปี 2029
• รถกระบะ: เตรียมเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้าสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ สานต่อความสำเร็จของรุ่น Tasman
• ตั้งเป้ายอดขาย Tasman ทั่วโลก 80,000 คันต่อปี
• ตั้งเป้ารายได้รวม 170 ล้านล้านวอน และอัตรากำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 10% ภายในปี 2030
• วางแผนลงทุน 42 ล้านล้านวอน ระหว่างปี 2025–2029 โดยรวมถึง 19 ล้านล้านวอน สำหรับธุรกิจแห่งอนาคต
• แนวทางธุรกิจปี 2025:
- ตั้งเป้ารายได้มากกว่า 112 ล้านล้านวอน และส่วนแบ่งตลาด 3.7%
- คาดอัตรากำไรจากการดำเนินงาน 11% จากยอดขายมากกว่า 3.2 ล้านคันทั่วโลก
(โซล) 9 เมษายน 2025 – บริษัท Kia Corporation (Kia) เปิดเผยกลยุทธ์ทางธุรกิจระยะกลางถึงระยะยาว และเป้าหมายทางการเงิน ในงาน CEO Investor Day ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ภายใต้กลยุทธ์ Plan S ซึ่งเป็นแผนธุรกิจระยะกลางถึงระยะยาวของแบรนด์ Kia บริษัทได้ประกาศกลยุทธ์เชิงรุกในการบรรลุยอดขายทั่วโลก 4.19 ล้านคันภายในปี 2030 โดยในจำนวนนั้นรวมถึงรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จำนวน 2.33 ล้านคัน ด้วยความคล่องตัวและความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของตลาด Kia จะขยายกลไกการเติบโตผ่านการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ อาทิ รถ PBV และรถกระบะ รวมถึงรุกเข้าสู่ธุรกิจสำคัญแห่งอนาคตอื่น ๆ “นับตั้งแต่การเปิดตัวกลยุทธ์ Kia Transformation ในปี 2021 Kia ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการในการขับเคลื่อนที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมด้านพื้นที่ใช้สอย และช่วยให้ลูกค้าใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการเดินทางแบบเดิม” นายโฮ ซอง ซง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Kia กล่าว “เราจะเดินหน้าพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการดำเนินกลยุทธ์ระยะกลางถึงระยะยาว เพื่อเสริมความแข็งแกร่งภายในองค์กร และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ”
สรุปแผนกลยุทธ์ Plan S 2030 ของ Kia
Sales Expansion
|
||
ไลน์อัปรถยนต์ที่หลากหลาย |
• ยอดขายทั่วโลก 4.19 ล้านคันภายในปี 2030 – แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) 1.26 ล้านคัน และไฮบริด (xHEV) 1.07 ล้านคัน รวม 2.33 ล้านคัน ภายในปี 2030 จะมีไลน์อัปประกอบด้วย: • เพิ่มกำลังการผลิตทั่วโลกขึ้น 17% เป็น 4.25 ล้านคันต่อปีภายในปี 2030 • กระจายไลน์อัปไฮบริด ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ EV และ PBV พร้อมเปิดตัวรถกระบะ Tasman เพื่อเสริมทัพกลยุทธ์การเติบโต
|
|
Strategy Details
|
||
Growth by New Model
|
EV |
• ขยายไลน์อัปรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่: EV3, EV4, EV5 และ EV2 • ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จำนวน 1.26 ล้านคันภายในปี 2030 • ยกระดับบริการลูกค้า EV และโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ ผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ • ปรับระบบการผลิตให้ยืดหยุ่นและเหมาะสมที่สุดในโรงงานทั่วโลก
|
PBV |
• ตั้งเป้ายอดขาย PBV จำนวน 250,000 คันภายในปี 2030 • ขยายไลน์รุ่น PV5 ให้ครอบคลุม 5 รูปแบบตัวถัง พร้อมรุ่นดัดแปลงเฉพาะตลาด • รุ่น PV7 เตรียมเข้าร่วมไลน์อัป PBV ในปี 2027 และรุ่น PV9 จะตามมาในปี 2029
|
|
Pickup |
• เตรียมเปิดตัวรถกระบะ Tasman ตั้งเป้ายอดขายต่อปี 80,000 คัน พร้อมเป้าหมายส่วนแบ่งตลาด 6% • รองรับความต้องการที่หลากหลายของตลาด ด้วยทั้งรุ่นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) • วางแผนเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้ารุ่นใหม่สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ– ตั้งเป้ายอดขายระยะยาว 90,000 คันต่อปี
|
|
Future Business |
• มุ่งพัฒนา SDV (Software-Defined Vehicle) และเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และสร้างเครือข่ายขนส่งหลายรูปแบบร่วมกับ AAM solutions (Advanced Air Mobility) • เปิดตัว SDV Pace Car ในปี 2026 และเริ่มใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2+ ตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป
|
|
Annual & Mid-to-long-term Business and Financial Goals
|
||
2025 |
• เตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ 5 รุ่น พร้อมรุ่นปรับโฉม 1 รุ่น และรุ่นดัดแปลง (Derivatives) อีก 3 รุ่น • ตั้งเป้ายอดขายส่ง (Wholesale) 3.22 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 4.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน • ตั้งเป้ารายได้รวม 112 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้น 4.7% จากปีก่อน
|
|
Mid-to-long-term |
• วางแผนลงทุนรวม 42 ล้านล้านวอนในช่วงปี 2025–2029 เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาว • ตั้งเป้ารายได้รวม 170 ล้านล้านวอน กำไรจากการดำเนินงาน 18 ล้านล้านวอน และอัตรากำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 10% ภายในปี 2030 • กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนรวมสำหรับผู้ถือหุ้นไว้ที่ 35% สำหรับช่วงปี 2025–2027
|
■ ขยายยอดขายสู่ส่วนแบ่งตลาด 4.5% ด้วยยอดขายรถยนต์ 4.19 ล้านคันภายในปี 2030
Kia วางแผนที่จะมียอดขาย 1.11 ล้านคันในอเมริกาเหนือ และ 774,000 คันในยุโรปภายในปี 2030 ขณะเดียวกันตั้งเป้ายอดขายในเกาหลีใต้ที่ 580,000 คัน สำหรับในประเทศอินเดีย Kia จะขยายยอดขายโดยเน้นรุ่นใหม่ล่าสุด “Syros” โดยตั้งเป้ายอดขายที่ 400,000 คัน บริษัทตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electrified Vehicles) จำนวน 2.33 ล้านคันภายในปี 2030 คิดเป็น 56% ของยอดขายรวมที่ตั้งเป้าไว้ โดยในจำนวนนั้นรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จำนวน 1.26 ล้านคัน และรถยนต์ไฮบริด (xHEV) อีก 1.07 ล้านคัน ในตลาดหลัก ๆ บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไว้ที่ 70% ในอเมริกาเหนือ, 86% ในยุโรป, 73% ในเกาหลีใต้ และ 43% ในอินเดีย เพื่อรองรับความต้องการ Kia จะเพิ่มกำลังการผลิตทั่วโลกขึ้น 17% จาก 3.63 ล้านคันในปี 2025 เป็น 4.25 ล้านคันภายในปี 2030 Kia จะขยายไลน์อัปรถยนต์ไฮบริดให้ครอบคลุมในทุก segment ตั้งแต่รุ่นคอมแพ็คไปจนถึงรุ่นขนาดใหญ่ รวมถึงรถ SUV อย่าง Seltos และ Telluride เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น บริษัทตั้งเป้ายอดขายรถไฮบริด หนึ่งล้านคันภายในปี 2030 โดยประมาณ เพิ่มขึ้นจาก 490,000 คันที่คาดการณ์ไว้ในปี 2025 ถึงสองเท่า เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า Kia จะเป็นผู้นำในการผลักดันการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในวงกว้าง โดยการขยายไลน์อัปรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวรุ่น EV2 ซึ่งจะตามหลังรุ่น EV3, EV4 และ EV5 นอกจากนี้ บริษัทจะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Platform Beyond Vehicle (PBV) โดยเริ่มจากรุ่น PV5 ภายในปีนี้ และเตรียมเข้าสู่ตลาดรถกระบะ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
■ กลยุทธ์การเติบโตผ่านรุ่นใหม่: รถยนต์ไฟฟ้า (EV), รถ PBV และรถกระบะ
กลยุทธ์ที่ ① : เสริมความเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวไลน์อัปรุ่นยอดขายหลักอย่างครบถ้วน
Kia ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้เพิ่มขึ้นเป็น 1.26 ล้านคันภายในปี 2030 โดยจะสนับสนุนเป้าหมายนี้ผ่านการเสริมความเป็นผู้นำด้าน EV ด้วยรุ่นยอดขายหลัก เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน ยกระดับการบริการลูกค้า และปรับกลยุทธ์การผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ต่อยอดจากความสำเร็จของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเรือธงอย่าง EV6 และ EV9 Kia เตรียมขยายไลน์อัปรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นยอดขายหลัก ด้วยการเปิดตัวรุ่นใหม่ ได้แก่ EV3, EV4, EV5 และ EV2 กลยุทธ์นวัตกรรมด้านต้นทุนจะเน้นการปรับแต่งฮาร์ดแวร์ให้เหมาะสม ผ่านการออกแบบภายในและภายนอกที่มอบคุณค่าแท้จริงให้กับลูกค้า พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานซอฟต์แวร์ของรถยนต์ไฟฟ้าด้วยสถาปัตยกรรมอิเล็กทรอนิกส์เจเนอเรชันถัดไป Kia ยังจะยกระดับบริการหลังการขายของรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการขยายเครือข่ายศูนย์บริการเฉพาะทาง จัดตั้งโปรแกรมฝึกอบรมการซ่อม EV แบบรับรองมาตรฐาน และให้บริการวินิจฉัยรถจากระยะไกล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จจะดำเนินต่อไปผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตร เช่น E-pit ในเกาหลีใต้, บริษัทร่วมทุน IONNA ในอเมริกาเหนือ และ Ionity ในยุโรป
การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน Kia จะขยายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคสำคัญ โดยกำหนดให้เกาหลีใต้เป็นศูนย์กลางระดับโลกด้านการพัฒนาและการผลิต EV ขณะที่อเมริกาเหนือจะมุ่งเน้นรถ SUV ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ยุโรปมุ่งเน้นรถ SUV ขนาดกะทัดรัดและแฮตช์แบ็ก ส่วนอินเดียจะเน้นรถ SUV ขนาดกะทัดรัดที่ตอบโจทย์ตลาดท้องถิ่น Kia จะรักษาความยืดหยุ่นในการผลิต โดยเดินสายการผลิตรถยนต์ทุกประเภท — ทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE), ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า — จากโรงงานที่มีอยู่จำนวน 13 แห่งทั่วโลก พร้อมยกระดับประสิทธิภาพด้วยโรงงานเฉพาะสำหรับ EV จำนวน 2 แห่ง โรงงาน EVO เมืองกวางมยอง ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อปีที่แล้ว กำลังผลักดันการใช้งาน EV ด้วยการผลิตรุ่น EV3 ส่วน EV4 ซึ่งเป็นรุ่น EV ปริมาณมากรุ่นที่สองของ Kia ได้เริ่มผลิตจำนวนมากตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเตรียมเปิดตัวในระดับโลกเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ โรงงาน EVO เมืองฮวาซอง ซึ่งจะเริ่มผลิตรุ่น PV5 ให้สอดรับกับการเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2025 จะขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับรุ่น PV7 ในปี 2027 ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์ที่ ② : ขยายธุรกิจ PBV สู่แรงขับเคลื่อนการเติบโตใหม่
Kia เตรียมพลิกโฉมอุตสาหกรรมการขับเคลื่อนด้วยการขยายธุรกิจ PBV (Platform Beyond Vehicle) เพื่อเสริมแรงขับเคลื่อนการเติบโต และยกระดับกรอบการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางภายในปี 2030 บริษัทตั้งเป้ารุกตลาดรถยนต์พาณิชย์ไฟฟ้าขนาดเบา (LCV) อย่างเข้มข้น โดยตั้งเป้ายอดขาย PBV จำนวน 250,000 คันในยุโรป เกาหลีใต้ และตลาดสำคัญอื่น ๆ ทั่วโลก เพื่อสร้างความเป็นผู้นำในธุรกิจ PBV Kia ให้ความสำคัญเชิงกลยุทธ์ใน 5 ด้านหลัก ได้แก่:
• ผลิตภัณฑ์
• การผลิต
• โซลูชัน
• การบริการ
• ช่องทางการจัดจำหน่าย
2-1. ไลน์อัป PBV ที่หลากหลาย
หลังการเปิดตัวรุ่น PV5 ในเดือนกรกฎาคม 2025 Kia จะขยายไลน์ PBV อย่างต่อเนื่องด้วยรุ่น PV7 ในปี 2027 และ PV9 ในปี 2029 โดย PV5 จะมีให้เลือกทั้งรุ่นโดยสาร, ขนส่งสินค้า และ Chassis Cab พร้อมรุ่นดัดแปลงหลากหลาย อาทิ B2C Premium, Light Camper, Crew Van, Open Bed และ Box/Refrigerated Truck
2-2. ระบบการผลิตเฉพาะสำหรับ PBV
Kia กำลังสร้างระบบการผลิตที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพที่โรงงาน EVO เมืองฮวาซอง พร้อมจัดตั้ง Conversion Center สำหรับการพัฒนาและผลิตรุ่นดัดแปลงของ PBV โดยจะร่วมมือกับบริษัทดัดแปลงชั้นนำในแต่ละภูมิภาค เพื่อให้ PBV ที่ผลิตสามารถตอบโจทย์เฉพาะของแต่ละตลาดได้อย่างมีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูงสุด
2-3. โซลูชันเฉพาะทางเพื่อประสิทธิภาพทางธุรกิจ
โซลูชันของ Kia สำหรับ PBV จะพัฒนาบนแนวคิด Software-Defined Vehicle (SDV) ของ Hyundai Motor Group โดยร่วมมือกับพันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า บริการจัดการฟลีทจะได้รับการปรับปรุงด้วยระบบบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการวิเคราะห์อุบัติเหตุตามบริบท ทั้งหมดจะถูกรวมไว้ในระบบจัดการฟลีทรุ่นที่ 3 (FMS) ของ Kia ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิผล
2-4. บริการแบบแพ็กเกจเพื่อการดำเนินงานที่ราบรื่น
Kia จะรวมโซลูชัน FMS เข้ากับบริการที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงาน เช่น การจัดไฟแนนซ์ การชาร์จไฟ และการบำรุงรักษา เพื่อช่วยให้ลูกค้าธุรกิจ (B2B) เป็นเจ้าของและบริหารจัดการรถยนต์ได้อย่างสะดวกง่ายดาย แพ็กเกจบริการเหล่านี้จะถูกรวมเข้ากับระบบเรียกเก็บเงินแบบรวมบิล (One-Billing System) เพื่อมอบประสบการณ์การชำระเงินที่ไร้รอยต่อ และเพิ่มความสะดวกสูงสุดให้กับลูกค้าธุรกิจ
2-5. ช่องทางลูกค้าและการขายที่ได้รับการปรับแต่งอย่างเหมาะสม
Kia กำลังยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าธุรกิจ ด้วยการปรับปรุงช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ในด้านออฟไลน์ บริษัทจะคัดเลือกดีลเลอร์บางแห่งให้เป็นศูนย์ PBV โดยเฉพาะ และพัฒนา Business Lounge ที่ลูกค้าสามารถเข้าชมรถ PBV พร้อมโซลูชันและบริการทั้งหมดได้ในที่เดียว ในด้านออนไลน์ Kia จะเปิดตัวเว็บไซต์เฉพาะสำหรับ PBV เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลและบริการได้อย่างสะดวก พร้อมทั้งเปิดพอร์ทัลสำหรับพันธมิตรด้านการดัดแปลงรถ (Body-Builder Conversion Portal) เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลและบริการที่เกี่ยวข้องกับ PBV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะกลไกขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ ธุรกิจ PBV ของ Kia จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านตลาดและรูปแบบธุรกิจ โดยบริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าให้กว้างกว่ากลุ่มผู้ใช้งานรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแบบ B2C แบบดั้งเดิม และรุกเข้าสู่กลุ่มรถพาณิชย์ขนาดเล็ก (LCV) ในกลุ่มลูกค้า B2B ในเชิงภูมิศาสตร์ Kia มีแผนขยายการดำเนินธุรกิจ PBV จากตลาดหลักอย่างยุโรปและเกาหลีใต้ ไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ได้แก่ อเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง เอเชียแปซิฟิก และญี่ปุ่น
กลยุทธ์ที่ ③ : รถกระบะ – รุกเข้าสู่ segment ใหม่ด้วยการเปิดตัวรุ่น Tasman
Kia ตั้งเป้าตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของตลาดรถกระบะ ด้วยการนำเสนอทั้งรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยรถกระบะรุ่นแรกของแบรนด์ “Tasman” จะเปิดตัวในเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และตลาดเกิดใหม่ พร้อมตั้งเป้ายอดขายต่อปี 80,000 คัน และส่วนแบ่งตลาด 6% สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ Kia วางแผนเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม EV เจเนอเรชันใหม่ รองรับทั้งการใช้งานในเมืองและกิจกรรมกลางแจ้ง โดยตั้งเป้ายอดขายต่อปีในระยะกลางถึงระยะยาวที่ 90,000 คัน พร้อมส่วนแบ่งตลาด 7% รถรุ่นนี้จะมาพร้อมพื้นที่ภายในและพื้นที่บรรทุกระดับแนวหน้า ระบบลากจูงที่แข็งแกร่ง สมรรถนะในการขับขี่แบบออฟโรด รวมถึงเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยและระบบอินโฟเทนเมนต์ขั้นสูง
■ แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์และธุรกิจในอนาคต
กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ของ Kia มุ่งตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยยึดหลักสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การเชื่อมต่ออัจฉริยะ, การขับขี่อัตโนมัติ, สมรรถนะ, และการออกแบบ
การเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Connectivity):
Kia จะขยายฟังก์ชัน Over-the-Air (OTA) เพื่อให้สามารถอัปเดตซอฟต์แวร์ของรถได้จากระยะไกล พร้อมรองรับการวินิจฉัยปัญหาเบื้องต้นจากระบบ Connected Car โดยจะขยายบริการจาก 34 ประเทศในปี 2024 เป็น 71 ประเทศภายในปี 2026 ครอบคลุมภูมิภาคตะวันออกกลาง เอเชียแปซิฟิก และละตินอเมริกา
การขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous):
Kia จะพัฒนาซอฟต์แวร์การขับขี่อัตโนมัติภายในบริษัท พร้อมบูรณาการกับระบบยานยนต์ และจับมือกับพันธมิตรภายนอกเพื่อร่วมกันพัฒนาในด้านข้อมูลรถยนต์ โครงสร้างพื้นฐาน และมาตรฐานอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้จะสอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนผ่านสู่ SDV (Software-Defined Vehicle)
สมรรถนะ (Performance):
Kia จะยกระดับสมรรถนะในการขับขี่และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงด้วยระบบขับเคลื่อนไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ และระบบ Extended Range Electric Vehicle (EREV) ที่ผสานข้อดีของ EV และเครื่องยนต์ ICE เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูงเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของพลังงาน และประสิทธิภาพในสภาพอากาศหนาว รวมถึงระบบอิเล็กทรอนิกส์กำลังที่ปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มความเร็วในการชาร์จ ความปลอดภัย และความทนทาน
การออกแบบ (Design):
Kia ยังคงต่อยอดปรัชญาการออกแบบ “Opposites United” โดยนำมาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นหลักในอนาคต รวมถึงรุ่น EV2
ขยายขอบเขตของธุรกิจในอนาคต: SDV, การขับขี่อัตโนมัติ, หุ่นยนต์, และการขนส่งทางอากาศขั้นสูง (AAM)
เพื่อเร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมด้าน SDV ของ Hyundai Motor Group Kia กำลังร่วมมือกับหลายฝ่ายภายในกลุ่มฯ รวมถึงฝ่ายพัฒนาแพลตฟอร์มยานยนต์ขั้นสูง และศูนย์ซอฟต์แวร์ระดับโลก 42dot
Kia กำลังเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ SDV โดยมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีหลัก 3 ประการ ได้แก่ สถาปัตยกรรมไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ (E/E) ขั้นสูง ที่รองรับการอัปเดตแบบไร้รอยต่อและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของยานยนต์ ระบบปฏิบัติการ SDV ที่แข็งแกร่งซึ่งรับประกันประสบการณ์การใช้งานที่เสถียรไม่สะดุด และซอฟต์แวร์ที่รองรับแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่ายและปรับแต่งได้อย่างลึกซึ้งเพื่อเพิ่มความสามารถด้านการเชื่อมต่อและฟังก์ชันการใช้งาน
ในปี 2026 Kia มีแผนเปิดตัว SDV Pace Car ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยี SDV แบบครบชุดและระบบขับขี่อัตโนมัติที่ผสาน AI อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากการเปิดตัวดังกล่าว Kia ตั้งเป้าเริ่มใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2+ ซึ่งมาพร้อมระบบที่ล้ำหน้าและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงเทคโนโลยี AI โดยวางรากฐานสู่การผลิตในระดับแมสและระบบนิเวศซอฟต์แวร์แบบครบวงจรตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป Kia กำลังร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีสำคัญในกลุ่ม Hyundai Motor Group ได้แก่ Motional, Boston Dynamics และ Supernal เพื่อผสานเทคโนโลยีแห่งอนาคตและพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ
Kia กำลังร่วมมือกับบริษัท Motional ในการนำเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติมาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นของแบรนด์ สำหรับด้านโลจิสติกส์ Kia และ Boston Dynamics กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของระบบอัตโนมัติ ด้วยการใช้หุ่นยนต์โลจิสติกส์ Stretch และการผสานการทำงานของ PBV เข้ากับหุ่นยนต์สี่ขา Spot เพื่อรองรับการจัดส่งระยะสุดท้าย (last-mile delivery) ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท Advanced Air Mobility (AAM) อย่าง Supernal Kia ตั้งเป้าเชื่อมโยง PBV เข้ากับโซลูชันการขนส่งทางอากาศ เพื่อสร้างเครือข่ายการเดินทางแบบหลายรูปแบบ (multimodal) ที่ไร้รอยต่อ
■ เป้าหมายทางธุรกิจและการเงินรายปีและระยะกลางถึงระยะยาว
แม้จะเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับโลกเมื่อปีที่ผ่านมา Kia ก็ยังสามารถสร้างสถิติรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 107.4 ล้านล้านวอน พร้อมอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ 11.8% เพื่อสานต่อแรงขับเคลื่อนดังกล่าวจากปี 2024 Kia ได้กำหนดแผนธุรกิจประจำปี 2025 โดยตั้งเป้ายอดขายส่ง (wholesale) จำนวน 3.22 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 4.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ยังตั้งเป้ารายได้รวมมากกว่า 112 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้น 4.7% พร้อมรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานไว้ที่ระดับ 11%
ในปี 2025 Kia เตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ 5 รุ่น รุ่นปรับโฉม 1 รุ่น และรุ่นดัดแปลง (derivatives) อีก 3 รุ่น รถกระบะรุ่น Tasman จะช่วยสร้างความต้องการใหม่ในตลาดและผลักดันการเติบโตของรายได้ ขณะที่รุ่น EV4 จะยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับแมส ส่วนการเปิดตัว PV5 จะเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจ PBV แบบเฉพาะทางของ Kia ในระยะกลางถึงระยะยาว Kia ตั้งเป้าบรรลุรายได้รวม 170 ล้านล้านวอน และกำไรจากการดำเนินงาน 18 ล้านล้านวอนภายในปี 2030 โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 10%
บริษัทมีแผนรักษาความสามารถในการทำกำไรในระยะยาวผ่านการเติบโตของปริมาณยอดขาย ควบคู่ไปกับกลยุทธ์เพิ่มความสามารถในการทำกำไรของรถไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับยานยนต์ที่นิยามด้วยซอฟต์แวร์ (SDV)
■ แผนการลงทุนในอนาคตและนโยบายผลตอบแทนผู้ถือหุ้น
Kia มีแผนลงทุนรวมทั้งสิ้น 42 ล้านล้านวอนในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นจากแผนเดิมเมื่อปีที่แล้วจำนวน 4 ล้านล้านวอน โดยในจำนวนนี้ 19 ล้านล้านวอนจะถูกจัดสรรให้กับธุรกิจแห่งอนาคต อาทิ การขับเคลื่อนไฟฟ้า (Electrification), ยานยนต์ที่นิยามด้วยซอฟต์แวร์ (SDV), หุ่นยนต์ และการขนส่งทางอากาศขั้นสูง (AAM)
Kia ยังได้ย้ำเป้าหมายทางการเงินระยะกลางในช่วงปี 2025 ถึง 2027 ซึ่งรวมถึงการเติบโตของรายได้ต่อปีมากกว่า 10% อัตรากำไรจากการดำเนินงานมากกว่า 10% และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) มากกว่า 15% เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างสมดุล Kia ได้กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนรวมแก่ผู้ถือหุ้น (TSR) ไว้ที่ 35% สำหรับช่วงเวลาดังกล่าว โดยครอบคลุมทั้งเงินปันผล การซื้อคืนหุ้น และการยกเลิกหุ้น ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงดำเนินนโยบายการจ่ายผลตอบแทนที่เป็นมิตรต่อผู้ถือหุ้น โดยกำหนดเงินปันผลขั้นต่ำต่อหุ้นไว้ที่ 5,000 วอน และเพื่อเสริมความโปร่งใส บริษัทจะซื้อคืนและยกเลิกหุ้นสูงสุดในสัดส่วน 10% ของกำไรสุทธิ