สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่่รถยนต์หมด

สาเหตุนั้นอาจมีมากกว่า 1 สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่่หมด โดยตัวไปแล้วปัญหาหลักๆนั้นประกอบด้วย

1. ไฟรั่วจากแบตเตอรี่่ - ถ้าปล่อยให้อุปกรณ์ไฟฟ้าในรถของคุณ หรือไฟในรถทำงานแม้ว่าจะดับเครื่องยนต์ไปแล้ว จะทำให้เกิดการใช้แบตเตอรี่่อย่างช้าๆ 
2. ปัญหาของระบบการชาร์จไฟ - แบตเตอรี่่จะรั่วไหลอย่างช้าๆ ถ้าไดชาร์จไม่สามารถปล่อยกระแสไฟได้อย่างเพียงพอ ซึ่งโดยเฉลี่ยไดชาร์จจะปล่อยกระแสไฟในระดับ 13.5 - 14.5 โวล์ท ถ้าเป็นเช่นนี้แบตเตอรี่จะค่อยๆรั่วไหลอย่างต่อเนื่องแม้ในขณะที่เครื่องยนต์ยังทำงานอยู่ก็ตาม
3. ไดโอดทำงานผิดพลาด - การทำงานผิดพลาดของไดโอดจะส่งผลให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานสั้นลงได้
4. สภาวะอากาศเย็นจัดหรือร้อนจัด - ถ้าอุณหภูมิสูงจัด (มากกว่า 100 องศาเซลเซียส) หรืออุณหภูมิต่ำจัด (ต่ำกว่า 10 องศาฟาเรนไฮต์) จะส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่่รถยนต์ได้ การจอดรถทิ้งไว้ในเงื่อนไขสภาพอากาศแบบนี้เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการสะสมของซัลเฟต ส่งผลให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่่ที่ลดลง
5. แบตเตอรี่่เก่า - ค่าเฉลี่ยของอายุแบตเตอรี่่อยู่ที่ประมาณ 4-5 ปี ดังนั้นถ้าแบตเตอรี่่ของรถคุณเก่ามากเกินไปอาจไม่สามารถเก็บพลังงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

หากรถยนต์ของคุณมีจุดแสดงสถานะของแบตเตอรี่่ที่โชว์ด้วยเข็มที่ชี้ไปทางฝั่งแรงดันไฟฟ้าต่ำหรือสูง คุณจะสามารถตรวจสอบระดับอีเล็คโทรดได้ ซึ่งโดยปกติเข็มจะควรจะอยู่ในระดับกึ่งกลางระหว่างฝั่งแรงดันไฟฟ้าต่ำและฝั่งสูง ส่วนสัญญาณเตือนอื่นๆว่าแบตเตอรี่่เสื่อมสภาพแล้วที่พบบ่อย ประกอบด้วย

ก่อนการสตาร์ทเครื่องยนต์

• มาตรวัด และไฟภายในรถไม่ทำงานขณะเริ่มบิดกุญแจก่อนการสตาร์ทเครื่องยนต์
• จำเป็นต้องพ่วงแบตเตอรี่่ทุกๆ 3-5 วัน หรือถี่กว่านั้น
• แบตเตอรี่่หยุดทำงานภายใน 15-30 นาที ทำให้เครื่องยนต์ดับ ขณะที่อุปกรณ์อื่นๆภายในรถยนต์ยังทำงานอยู่

ระหว่างการสตาร์ทเครื่องยนต์

• ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ซ้ำมากกว่า 3 รอบเพื่อติดเครื่องยนต์
• ไฟภายในรถ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ มีอาการวูบวาบก่อนการสตาร์ทเครื่องยนต์
• การสตาร์ทเครื่องยนต์ทำได้ยากขึ้นหลังการจอดรถเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่ออากาศเย็น

ระหว่างการขับขี่

• เครื่องยนต์มีอาการสั่นเล็กน้อยขณะจอดติดไฟแดง
• วิทยุหรืออุปกรณ์อื่นๆอาจหยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
• ไฟหน้ามีความสว่างน้อยลง รวมถึงอาการไฟตกที่อุปกรณ์อื่นๆ ขณะเหยียบคันเร่ง